วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Take Care N"แนน


1. ใช้โฟมล้างหน้าวันละสองครั้ง เช้า-เย็น
  • ใช้น้ำอุ่นล้างก่อน
  • ตามด้วยโฟมถูบนฝ่ามือ 
  • ล้างหน้าเบาๆ 
  • ล้างโฟมออกด้วยน้ำเย็น
  • เช็ดด้วยผ้าสะอาด

2. ท่าครีมบำรุงผิวหน้าที่กันแดดได้
  • ทั้งหน้าและลำคอ หูด้วย

3. หลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรง
  • หมวก 
  • เสื้อคลุมที่มีหมวก

4. ดื่มน้ำเยอะๆ 
  • แปดแก้วอย่างต่ำ 

5. พักผ่อนให้เพียงพอ แปดชั่วโมง
  • ห้ามนอนคว่ำ
  • ห้ามคลุมโปง
  • ซักผ้าปูที่นอน และ ปอกหมอน อาทิตย์ละสองครั้ง 

ความต่อเนื่องสำคัญมากน้อง

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556



คุณลักษณะของ PROJECT MANAGER



Project Manager หรือ ผู้จัดการโครงการ เรียกกันติดปากสั้นๆ ว่า PM เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในโครงการ กล่าวได้ว่า ความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการขึ้นกับ PM เป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว




  1. เป็นผู้นำ : คุณสมบัติข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะ PM ย่อมต้องเป็น ผู้นำ ในโครงการโดยตำแหน่งอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นผู้นำแบบไหนถึงจะดีนั้น …. ผู้เขียนมีความเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีสูตรตายตัว และกลับคิดว่าที่จริงแล้ว PM ต้องเป็นผู้นำได้ทุกแบบ ตามสถานะการณ์ บางครั้งก็ต้องประชาธิปไตย ในบางคราวก็ต้องเผด็จการ บางทีก็ต้องแข็งราวผู้นำหน่วยทหารเลยทีเดียว แต่ที่แน่ๆ คือ จะต้องออกหน้าเสมอ กล้าตัดสินใจ พร้อมแสดงตัว พร้อมที่จะรับผิด รับชอบ ตลอดเวลา
  2. มีความรู้เรื่อง Project Management : องค์ความรู้ด้านการบริหารโครงการ มีความสำคัญมากต่อ PMช่วยให้เข้าใจลักษณะมาตรฐานทั่วไปของโครงการ เข้าใจขั้นตอน หลักการ และเครื่องมือต่าง ๆ ในการบริหารโครงการ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการบริหารธุรกิจ ยิ่งโครงการที่มีขนาดใหญ่ มีความซับซ้อน องค์ความรู้นี้ยิ่งมีความสำคัญ 
  3. วางแผนโครงการเป็น : มีความรู้แล้วว่า การบริหารโครงการ ต้องมีแผนอะไรบ้าง แต่ละแผนคืออะไร ทำอย่างไร … ก็ต้องทำแผนเป็นด้วย เพราะการวางแผนโครงการเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของ PM เนื่องจากโครงการมีหลายประเภท มีเงื่อนไข มีความซับซ้อน และขนาดที่แตกต่างกันไป PM จะต้องเข้าใจว่า แต่ละโครงการควรมีแผนอะไรบ้าง แผนอะไรเป็นแผนหลัก แผนอะไรไม่ต้องมีก็ได้ โดยส่วนตัวผู้เขียนมีความเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด แผนระยะเวลาดำเนินการ (Schedule Plan) และ แผนการเงิน (Financial Plan) ต้องมีทุกโครงการ ส่วนแผนอื่นๆ เช่น แผนการสื่อสาร (Communication Plan) แผนจัดการความเสี่ยง (Risk Management Plan) แผนการจัดซื้อจัดหา (Procurement Plan) ฯลฯ จะมีหรือไม่ขึ้นกับความจำเป็นแต่ละโครงการ
  4. มีความยืดหยุ่นสูง : PM ต้องสามารถรับมือกับสถานะการณ์ที่หลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างโครงการได้เป็นอย่างดี โครงการประเภท นิ่งๆ ขอบเขตงานคงที requirement ไม่เปลี่ยน เป็นไปตามแผนงานอย่างสมบูรณ์ มีอยู่ในความฝันเท่านั้น …. ในความเป็นจริง เราจะพบเงื่อนไขใหม่ๆ แปลกๆ อย่างนึกไม่ถึงอยู่เสมอ PM จึงต้องพร้อมที่จะรับรู้ เข้าใจ และรับมือได้กับทุกการเปลี่ยนแปลง
  5. เป็นนักเจรจาต่อรอง : PM อยู่ในฐานะคล้าย ๆ คนกลางที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งภายใน ภายนอกองค์กร โดยปกติโครงการจะต้องมีบุคลากรตามเงื่อนไข ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องมือพิเศษบางอย่าง และจะต้องมีงบประมาณเพียงพอ บ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้ มาจากหน่วยงานอื่น ซึ่งมักจะสร้างเงื่อนไข หรือมีข้อจำกัดในการนำมาใช้ในโครงการ PM จึงต้องมีทักษะในการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินโครงการ หรือในกรณีของลูกค้า ที่มักจะเพิ่มหรือเปลี่ยนขอบเขตงาน PM ก็จะต้องมีความสามารถที่จะต่อรองเพื่อไม่ให้กระทบต่อภาพรวมของโครงการ
  6. จัดลำดับความสำคัญเป็น : การเป็น PM มีความเป็นไปได้ว่า จะต้องรับมือกับหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ยิ่งทำหลาย ๆ โครงการในช่วงเวลาเดียวกัน ก็จะยิ่งยุ่งเหยิงขึ้นเป็นธรรมดา PM จึงต้องรู้ตัวว่าควรจะรับมือเรื่องใดก่อนหลัง อย่างไร เพื่อให้งานลุล่วงตามแผน




http://arthitonline.me

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556



Event
                
          พ่อ คือไอดอลของผม ผมโชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อ ทุกๆวันที่ผมเห็นพ่อกลับมาจากที่ทำงานผมรับรู้ได้ความเหนือยและถึงภาระที่มากมาย ไหนจะต้องดูแลครอบครัวที่มีลูกห้าคนและยังต้องดูแลปูย่าและตายาย ผมไม่อยากให้พ่อต้องทำงานหนักหรือต้องแบกรับภาระอย่างนี้เลย ผมอยากจะช่วยพ่อ อยากให้พ่อผมสบาย

ครั้งนึงผมไปเที่ยวหาพ่อที่อยุธยา  พ่อไปรับผมที่สถานีข่นส่งด้วยรถที่ออกใหม่ ระหว่างนั้งรถกลับบ้านที่พ่อกำลังผ่อน ผมเห็นพ่อยังไม่ได้เปลี่ยนชุดทำงานเลย ผมก็เลยถามพ่อขึ้นว่า พ่อเหนื่อยไหมคับ พ่อไม่ตอบคำถามแต่กลับถามผมกลับว่า เรียนเป็นไงบ้าง ผมตอบไปว่า เกรดตกคับพ่อ ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย อ่านไม่ทัน ทำข้อสอบไม่ค่อยได้คับ เทอมนี้เกรดเลยตก แล้วพ่อก็พูดขึ้นมาว่า พ่อไม่เหนือยหรอกลูก ลูกห้าคนพ่อเลี้ยงไหว ลูกก็ตั้งใจเรียนแล้วกัน เรียนให้จบจะได้มีงานทำ คับผม ถ้าผมเรียนจบผมจะส่งน้องๆเรียนคับพ่อ พ่อตอบมาว่า ไมต้องลูก ลูกมีงานทำก็ตั้งฐานะให้มั่นคง มีครอบครัวที่พร้อม ลูกไม่ต้องมาห่วงทางนี้เลย พ่อไหว ผมไม่เคยได้ยินพ่อบ่นสักคำเลยว่าพ่อเหนื่อย พ่อไม่ไหว้ พ่อท้อ แต่ผมก็รู้ถึงภาระที่ต้องรับผิดชอบ


จากเหตุการณ์ครั้งนั้น มันทำให้ผมอยากเห็นคนในครอบครัวผมมีความสุข มีฐานะครอบครัวที่มั่นคง กินอยู่อย่างสุขสบาย ไม่อยากให้พ่อต้องเหนื่อยยามแก่ตัว มันทำให้ผมคิดเสมอ เวลาใดที่เราท้อและเหนื่อยยังมี พ่อ ที่ยังเหนื่อยและลำบากมากกว่าเรา

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เป้าหมายในชีวิต


  1. เรียนจบภายในสี่ปี
  2. มีเงินเดือนสูง
  3. มีคอนโดเป็นของตัวเอง
  4. เป็นเจ้าของร้าน 7-Eleven
  5. มีรถเครื่องสี่สูบ
  6. เป็นเจ้าของปั๋มน้ำมันทำเลดี
  7. มีรถสปอร์ตสักคัน
  8. มีแฟนสวยเหมือนนางฟ้า
  9. มีบ้านหลังเล็กๆสวยอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ
  10. มีครอบครัวที่พร้อม
  11. อยากให้พ่อและแม่อยู่บ้านหลังเดียวกับผม
  12. เป็นนักฟุตบอลมืออาชีพ
  13. เป็นนักร้องนำที่มีสมาชิกเป็นเพื่อนๆ CPE
  14. มีบ้านอยู่เชียงใหม่และกระบี่
  15. มีฟาร์มและไร่อยู่เชียงใหม่
  16. มีโรงแรมชื่อดังอยู่ที่กระบี่
  17. มีลูก 2-3 คน
  18. ให้ลูกเข้าโรงเรียนดีๆ 
  19. เป็นเจ้าของสายการบิน
  20. ไปเที่ยวต่างประเทศกับครอบครัว 



วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

เกมชั่งน้ำหนัก

เกมชั่งน้ำหนัก เป็นเกมที่ให้เราเขียนส่วนสูงและน้ำหนักที่เราเคยวัดหรือชั่งในครั้งก่อนลงไปในกระดาษแผ่นนึง ส่วนอีกหนึ่งแผ่นให้ไปวัดน้ำหนักมาก่อนแล้วค่อยเขียนตามคามจริง แน่นอนคับ น้ำหนักของทุกคนมีขึ้นลง มันจึงผิดจากที่เราเขียนไว้ในแผ่นแรกเป็นธรรมดา

แล้วอาจารย์ก็ให้เราส่งให้อาจารย์แผ่นนึ่ง ให้เราเก็บไปไว้แผ่นนึ่ง แล้วเรียกเพื่อนๆ ที่มีความสูงไล่ๆ กันออกมาหน้าห้อง สามคน แล้วอาจารย์ก็เรียกเพื่อนคนที่ สี่ ออกมา เพื่อให้เพื่อนๆทุกคนเลือกว่าคนนี้ควรยืนอยู่ตรงไหนจึงจะเหมาะสม


เกมนี้ได้สอนให้รู้ว่า การคาดคะแน่ของเรามันไม่แน่นอนหรอถูกต้องเสมอ


           คาดการณ์ หรือ การคาดคะเน ถ้านำไปใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดผลที่แน่นอนและแม่นยำ  เราควรมีข้อมูลให้ได้มากที่สุดถึงจะทำให้ผลออกมาใกล้เคียงที่สุด
http://www.sinkaonline.com/

เป้าหมายชีวิต

"วันนี้จะมาคิดเรื่องเงินกัน อีก 90 ปีข้างหน้า

ทำไม ๆ ต้องคิด 90ปีข้างหน้า  ปัจจุคนอายุเฉลี่ยคนไทยอยู่ที่  75  และมีโอกาศจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการแพทย์ก้าหน้า เราก็ประมาณไปเลยถึงรุ่นเราๆ ก็ประมาณ 90 ได้มั่งคับ

เป้าหมายของผมคือ  มีเงินใช่จนวันตาย
ทำไง ?  อยากรู้อ่านให้จบคับ

เราจะมาแบ่งช่วงอายุให้เห็นกันว่าเราจะมีเวลาทำอะไรอย่างไงกันกี่ปีนะคับ

  •    เรียนจบอายุ 22 
  •    เกษียณอายุ 60 (อันนี้เอาแบบทำงานราชการนะคับ ) ฉนั้นเราก็มีเวลาทำงาน 38 ปี
  •    เสียชีวิตประมาณ 90 เราเหลือเวลาใช้เงินโดยที่เราไม่ได้ทำงาน 30 ปีเพราะเกษียณแล้ว  ทุกคนเริ่มคิดแล้วซิคับว่า ไม่ได้ทำงานแล้วแถมยังแก่อีกต่างหากจะเอาเงินที่ไหนมาใช้   อะๆ หลายคนตอบว่าเงินเก็บใช่ไหมคับ อย่าลืมนะคับอัตราเงินเฟื้อในทุกๆ 10 ปีจะเพิ่มเป็น 2 เท่าเงินเก็บนี้แหละคับปัญหา  เราต้องมีเงินให้เหลือใช้อีก 30 ปีนะ โดยที่เราไม่ได้ทำงานเลย  แล้วในช่วงทำงานอีก 38 ปีเราต้องมีค่าใช่จ่ายอีกแล้วเราจะเก็บเงินยังไงให้มีเงินใช้ตลอดชีวิต 

เรามาแก้ปํญหาเรื่องเงินเก็บกันคับ
เราจะคิดเล่นๆ ให้ใกล้เคียงความจริงในตอนนี้ที่สุด
 เคล็ดลับมีงี้คับ ให้แบ่งเงินเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กันโดยแบ่งดังนี้

  1. ค่าใช่จ่ายของเรา
  2. เงินเก็บของเรา
  3. เงินเก็บให้พ่อแม่
  4. เงินสำหรับช่วยเหลือสังคม
 นี้คือส่วนที่ 1
ปัจจุบันเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 สำหรับ ป.ตรี มันแน่นอนอยุูแล้ว





  • เราทำงาน 1 ปี ได้ 180,000 
  •  ทำงานได้ 38 ปี มีเงิน 6,840,000 บาท
ในช่วงทำงาน 38 ปี คิดเลย ค่าหอพัก เดือนละ ต่ำสุด                            3,000
                                             ค่าน้ำค่าไฟ เดือนละ                           400
                                              กินข้าวในแต่ละวัน    150 *30 =        4,500
                                                                   รวมเดือนประมาน      8,000
                  สิ่งที่จำเป็นแต่วันที่เราตองใช้นี้ยังไม่รวม อื่นๆ อีกนะคับ

  • เดือนนึ่งใช้ 8,000 บาท 
  • ก็จะเหลือ   7,000 บาท เราก็แบ่งไปในส่วนที่ 2 3 และ4 ส่วนละ 2,500

เราจะมาพูดในส่วนที่สองนะคับโดยคิดดอกเบี้ย ร้อยละ 10

  •               เราเก็บเงินเดือนละ 2,500  ปีหนึงได้ 35,000
  •               ทำงาน 38 ปี 1,330,000 ซึ่งมันไม่พอสำหรับ 30 ปีที่เหลือแน่นอน
              คุณเริ่มตั่งแต่วันนี้ยังทัน ด้วยการให้เงินทำงานให้คุณ  เอาส่วนที่สองนี้ทำดอกให้คุณในหนึ่งปี
ให้ได้ 10%  แล้วเอาดอกนีไปลงทุน ให้ดอกของคุณโตปีละ 7-10 %  หากคุณทำได้ เงินดอกของคุณก็จะมีมากกว่าเงินทุนของคุณ และจะมีเงินเหลือใช้อย่างแน่นอน

             นี้เราคิดเล่นนะคับ ยังไม่ได้คิดว่าเงินเดือนคุณจะเพิ่มขึ้นอีก และยังไม่ได้คิดเงินเฟ้อ  แล้วคิดดูนี้แค่ของเราคนเดียวนะคับ ตามความเป้นจริงแล้วเราต้องมีครอบครัว พ่อแม่ และลูกอีก เพราะฉนั้น คุณเริ่มวันนี้ยังทันนะคับ "




หางานอย่าดูที่เงินเดือนให้ บวก ลบ ค่าใช่จ่าย แล้วดูที่เงินเหลือ
                     

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

เอกชัย วรรณแก้ว


         “เอกชัย วรรณแก้ว” คือบัณฑิตหนุ่มผู้พิการ วัย 30 ปี เดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ เข้าเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 18 ปี มุ่งหน้าสู่รั้วแดงดำ “เพาะช่าง” ตามหาความฝันที่อยากเรียนศิลปะ มุ่งมานะ อดทน ต่อความยากลำบาก และดูแลตัวเองตามลำพังมาโดยตลอด พร้อมกับหารายได้เสริมจ่ายค่าเทอมตลอดชีวิตของการเป็นนักศึกษา จนประสบความสำเร็จคว้าปริญญาตรีจากคณะจิตรกรรม จากวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 25 เมษายน 2555 นี้

ไร้แขน ไร้ขา (แต่) ทำได้ทุกอย่าง          ทางโรงเรียนไม่รับเข้าเรียน ทำให้ผมรู้สึกท้อและเกิดคำถามว่า ทำไมเขาไม่ฟังเราบ้าง จากนั้นครึ่งปีผมนอนอยู่บ้าน ดูทีวี และได้ยินนโยบายของรัฐบาลว่า “เด็กอยากเรียน ต้องได้เรียน” จึงตัดสินใจปรึกษาพ่อ วันรุ่งขึ้นพ่อพาผมไปศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ ผมเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง และให้ผมทดลองช่วยเหลือตัวเอง ตั้งแต่กินข้าว ใส่เสื้อผ้า หรือแม้แต่เขียนหนังสือ จนท่านรับรู้ว่า ผมทำทุกอย่างได้เหมือนคนปกติ และในที่สุด ผมก็ได้เข้าเรียนจนกระทั่งจบ ม.3”

หักกิ่งไม้ ใช้เท้าวาดรูป          นอกจากการฝึกช่วยเหลือตัวเองให้ได้เหมือนคนปกติ ยามว่างและยามเหงา เอกชัยมักจะหักกิ่งไม้และใช้เท้าวาดรูป จินตนาการไปเรื่อยๆ ตามที่สายตามองผ่าน หมา แมว หรือรูปคนก็ตาม “ผมชอบศิลปะ เพราะศิลปะทำให้ผมมีความสุข จินตนาการได้ยิ่งใหญ่ตามแต่ใจเรา ไม่จำเป็นต้องมีหลักการและเหตุอะไร แต่ผมก็อยากรู้ว่า พู่กัน สีน้ำ กระดาษวาดรูป มันเป็นยังไง”

พี่ยอมขายควาย ส่งน้องเรียน
          หลังจากที่เรียนจบอนุปริญญา เอกบอกกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ว่า การศึกษาแค่นี้เพียงพอแล้ว แม้ว่าในก้นบึ้งลึกๆ ของหัวใจ เขายังอยากเรียนต่อทางด้านศิลปะให้สูงที่สุด จนกระทั่งความหวังในการเรียนต่อเกิดขึ้นอีกครั้ง

       “อาจารยสอนวาดรูป แนะนำว่า วุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาอาจจะน้อยไปสำหรับเอก บวกกับสภาพร่างกายที่ใครบางคนอาจจะมองว่า ถ้ารับเอกเข้างานอาจจะเป็นภาระได้ แต่ถ้าเอกไปเรียนให้สูงขึ้นนี้ เอาฝีมือไปสู้กับคนอื่น ทำให้ทุกคนอึ้งกับผลงานของเอก และอึ้งกับสภาพร่างกายที่สร้างผลงานให้คนอื่นประทับใจได้ ครูอยากให้เอกไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ

มุ่งเข้ากรุง ตามฝัน คว้าปริญญา        ภูมิใจที่วันนี้ผมสามารถลบคำสบประมาทของคนบางคนที่พูดกับพ่อแม่ตอนที่ส่งผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ว่า “ส่งลูกไปเรียนทำไม เปลื้องเงิน เปลื้องทอง กลับมาก็ไม่มีงานทำ จะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้” วันนี้ผมทำได้แล้ว ผมเรียนจบปริญญาตรี สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวได้แล้ว”

เรียนจบ ภูมิใจไม่ (ง้อ) มือ (ง้อ) เท้า         เอกบอกว่า ชีวิตนักศึกษาเพาะช่างตลอด 4 ปีครึ่ง นอกจากทฤษฎีจากตำราเรียน และภาคปฏิบัติจากการได้วาดรูป ปัดพู่กันแล้ว อาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมสถาบันยังช่วยเติมเต็มความรัก ความผูกพัน และความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเอกเช่นกัน

“ผมภูมิใจกับสถาบันแห่งนี้ อาจารย์ที่นี้เก่ง มีศักยภาพที่ดีในการสอน ไม่ว่าจะเป็นความคิด การทำงาน ถ่ายทอดความรู้เทคนิคเขียนภาพให้ผมทุกอย่าง ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ส่วนเพื่อนๆ ผมรักเพื่อนทุกคน เพราะเราลำบาก ทนร้อน ทนหนาว มาด้วยกันตลอด พวกเราไม่เคยทิ้งกัน
และที่สำคัญ ภูมิใจที่วันนี้ผมสามารถลบคำสบประมาทของคนบางคนที่พูดกับพ่อแม่ตอนที่ส่งผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ว่า “ส่งลูกไปเรียนทำไม เปลื้องเงิน เปลื้องทอง กลับมาก็ไม่มีงานทำ จะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้” วันนี้ผมทำได้แล้ว ผมเรียนจบปริญญาตรี สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวได้แล้ว”

“โรงเรียนสอนวาดรูป” ฝันเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่         หลังจากเรียนจบ เอกมีความฝันตามสไตล์เด็กศิลป์ คือ การเป็นครูสอนศิลปะให้กับเด็กๆ ด้อยโอกาสในกรุงเทพและต่างจังหวัดที่ห่างไกล “ตอนเด็กผมฝันอยากเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ เรียนฟรี เพราะผมไม่หวังกำไร คุณอยากเรียน ผมอยากสอน แต่สำหรับตอนนี้ผมอยากหาอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ประจำทุกเดือน และเพียงพอที่จะหาเลี้ยงครอบครัวได้ หรืออาจจะเรียนต่อปริญญาโทด้านศิลปะ จากนั้นผมจะทำตามความฝันด้วยการเปิดโรงเรียนสอนศิลปะให้ได้”

         สุดท้ายนี้ เอกยังฝากเคล็ดลับการเรียนให้กับถึงน้องๆ ทุกคนว่า การเรียนบางวิชาไม่เหมือนกัน ผมอาจจะให้คำแนะนำอะไรมากไม่ได้ แต่ผมอยากให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน อย่าท้อ ขอให้สู้อย่าไปกลัว เหมือนกับเวลาที่เราวาดภาพสักภาพหนึ่ง เราอาจจะกลัวว่าภาพจะออกมาไม่ดี กลัวว่าจะทำไม่ได้ ผมอยากให้น้องๆ หันไปมองคนอื่นที่วาดภาพแบบนี้ได้ และถามตัวเองว่า ทำไมเขาถึงทำได้ ใช่เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนเรา มีสองมือ สองเท้า หรืออาจจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันเรา แต่ทำไมเขาทำได้ ดังนั้นเราต้องลองลงมือทำ ทำให้เต็มที ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยพูด คำว่า ทำไม่ได้ เราอย่าเพิ่งตัดสินทุกอย่าง ในเมื่อเรายังไม่ได้เริ่มทำอะไร