วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

เอกชัย วรรณแก้ว


         “เอกชัย วรรณแก้ว” คือบัณฑิตหนุ่มผู้พิการ วัย 30 ปี เดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ เข้าเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 18 ปี มุ่งหน้าสู่รั้วแดงดำ “เพาะช่าง” ตามหาความฝันที่อยากเรียนศิลปะ มุ่งมานะ อดทน ต่อความยากลำบาก และดูแลตัวเองตามลำพังมาโดยตลอด พร้อมกับหารายได้เสริมจ่ายค่าเทอมตลอดชีวิตของการเป็นนักศึกษา จนประสบความสำเร็จคว้าปริญญาตรีจากคณะจิตรกรรม จากวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 25 เมษายน 2555 นี้

ไร้แขน ไร้ขา (แต่) ทำได้ทุกอย่าง          ทางโรงเรียนไม่รับเข้าเรียน ทำให้ผมรู้สึกท้อและเกิดคำถามว่า ทำไมเขาไม่ฟังเราบ้าง จากนั้นครึ่งปีผมนอนอยู่บ้าน ดูทีวี และได้ยินนโยบายของรัฐบาลว่า “เด็กอยากเรียน ต้องได้เรียน” จึงตัดสินใจปรึกษาพ่อ วันรุ่งขึ้นพ่อพาผมไปศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์ ผมเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง และให้ผมทดลองช่วยเหลือตัวเอง ตั้งแต่กินข้าว ใส่เสื้อผ้า หรือแม้แต่เขียนหนังสือ จนท่านรับรู้ว่า ผมทำทุกอย่างได้เหมือนคนปกติ และในที่สุด ผมก็ได้เข้าเรียนจนกระทั่งจบ ม.3”

หักกิ่งไม้ ใช้เท้าวาดรูป          นอกจากการฝึกช่วยเหลือตัวเองให้ได้เหมือนคนปกติ ยามว่างและยามเหงา เอกชัยมักจะหักกิ่งไม้และใช้เท้าวาดรูป จินตนาการไปเรื่อยๆ ตามที่สายตามองผ่าน หมา แมว หรือรูปคนก็ตาม “ผมชอบศิลปะ เพราะศิลปะทำให้ผมมีความสุข จินตนาการได้ยิ่งใหญ่ตามแต่ใจเรา ไม่จำเป็นต้องมีหลักการและเหตุอะไร แต่ผมก็อยากรู้ว่า พู่กัน สีน้ำ กระดาษวาดรูป มันเป็นยังไง”

พี่ยอมขายควาย ส่งน้องเรียน
          หลังจากที่เรียนจบอนุปริญญา เอกบอกกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย ว่า การศึกษาแค่นี้เพียงพอแล้ว แม้ว่าในก้นบึ้งลึกๆ ของหัวใจ เขายังอยากเรียนต่อทางด้านศิลปะให้สูงที่สุด จนกระทั่งความหวังในการเรียนต่อเกิดขึ้นอีกครั้ง

       “อาจารยสอนวาดรูป แนะนำว่า วุฒิการศึกษาระดับอนุปริญญาอาจจะน้อยไปสำหรับเอก บวกกับสภาพร่างกายที่ใครบางคนอาจจะมองว่า ถ้ารับเอกเข้างานอาจจะเป็นภาระได้ แต่ถ้าเอกไปเรียนให้สูงขึ้นนี้ เอาฝีมือไปสู้กับคนอื่น ทำให้ทุกคนอึ้งกับผลงานของเอก และอึ้งกับสภาพร่างกายที่สร้างผลงานให้คนอื่นประทับใจได้ ครูอยากให้เอกไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ

มุ่งเข้ากรุง ตามฝัน คว้าปริญญา        ภูมิใจที่วันนี้ผมสามารถลบคำสบประมาทของคนบางคนที่พูดกับพ่อแม่ตอนที่ส่งผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ว่า “ส่งลูกไปเรียนทำไม เปลื้องเงิน เปลื้องทอง กลับมาก็ไม่มีงานทำ จะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้” วันนี้ผมทำได้แล้ว ผมเรียนจบปริญญาตรี สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวได้แล้ว”

เรียนจบ ภูมิใจไม่ (ง้อ) มือ (ง้อ) เท้า         เอกบอกว่า ชีวิตนักศึกษาเพาะช่างตลอด 4 ปีครึ่ง นอกจากทฤษฎีจากตำราเรียน และภาคปฏิบัติจากการได้วาดรูป ปัดพู่กันแล้ว อาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมสถาบันยังช่วยเติมเต็มความรัก ความผูกพัน และความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเอกเช่นกัน

“ผมภูมิใจกับสถาบันแห่งนี้ อาจารย์ที่นี้เก่ง มีศักยภาพที่ดีในการสอน ไม่ว่าจะเป็นความคิด การทำงาน ถ่ายทอดความรู้เทคนิคเขียนภาพให้ผมทุกอย่าง ทำให้ผมมีวันนี้ได้ ส่วนเพื่อนๆ ผมรักเพื่อนทุกคน เพราะเราลำบาก ทนร้อน ทนหนาว มาด้วยกันตลอด พวกเราไม่เคยทิ้งกัน
และที่สำคัญ ภูมิใจที่วันนี้ผมสามารถลบคำสบประมาทของคนบางคนที่พูดกับพ่อแม่ตอนที่ส่งผมเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ว่า “ส่งลูกไปเรียนทำไม เปลื้องเงิน เปลื้องทอง กลับมาก็ไม่มีงานทำ จะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้” วันนี้ผมทำได้แล้ว ผมเรียนจบปริญญาตรี สร้างความภาคภูมิใจให้กับครอบครัวได้แล้ว”

“โรงเรียนสอนวาดรูป” ฝันเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่         หลังจากเรียนจบ เอกมีความฝันตามสไตล์เด็กศิลป์ คือ การเป็นครูสอนศิลปะให้กับเด็กๆ ด้อยโอกาสในกรุงเทพและต่างจังหวัดที่ห่างไกล “ตอนเด็กผมฝันอยากเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ เรียนฟรี เพราะผมไม่หวังกำไร คุณอยากเรียน ผมอยากสอน แต่สำหรับตอนนี้ผมอยากหาอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ประจำทุกเดือน และเพียงพอที่จะหาเลี้ยงครอบครัวได้ หรืออาจจะเรียนต่อปริญญาโทด้านศิลปะ จากนั้นผมจะทำตามความฝันด้วยการเปิดโรงเรียนสอนศิลปะให้ได้”

         สุดท้ายนี้ เอกยังฝากเคล็ดลับการเรียนให้กับถึงน้องๆ ทุกคนว่า การเรียนบางวิชาไม่เหมือนกัน ผมอาจจะให้คำแนะนำอะไรมากไม่ได้ แต่ผมอยากให้กำลังใจน้องๆ ทุกคน อย่าท้อ ขอให้สู้อย่าไปกลัว เหมือนกับเวลาที่เราวาดภาพสักภาพหนึ่ง เราอาจจะกลัวว่าภาพจะออกมาไม่ดี กลัวว่าจะทำไม่ได้ ผมอยากให้น้องๆ หันไปมองคนอื่นที่วาดภาพแบบนี้ได้ และถามตัวเองว่า ทำไมเขาถึงทำได้ ใช่เพราะเขาก็เป็นคนเหมือนเรา มีสองมือ สองเท้า หรืออาจจะมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกันเรา แต่ทำไมเขาทำได้ ดังนั้นเราต้องลองลงมือทำ ทำให้เต็มที ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยพูด คำว่า ทำไม่ได้ เราอย่าเพิ่งตัดสินทุกอย่าง ในเมื่อเรายังไม่ได้เริ่มทำอะไร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น